สวัสดีครับท่านผู้บริหารและเพื่อนครูทุกท่านผมเบี้ยวการเขียนสาร ศน.
เล่าเรื่องไป 2 ฉบับ จริงๆแล้วไม่ใช่ไม่มีอะไรเล่านะครับ
ผมมีเรื่องเล่าเยอะแยะมากมาย แต่ด้วยภาระงานที่เป็นที่ทราบกันดีทุกคนนะครับ
ทั้งผู้บริหารและเพื่อนครู ตอนนี้มีงานต่างๆมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพวกเราที่ทำหน้าที่ในการจัดการศึกษาให้กับลูกหลานของเรา
ผมพอแค่นี้ดีกว่า เดี๋ยวจะติดลมยาวไปเสียอีก
วันนี้มีเรื่องราวที่จะมาเล่าสื่อสาร
ให้กับผู้ริหารและเพื่อนครูบางท่านคงจะแว่วๆมาบ้างแล้ว นั้นก็คือเรื่อง “การประเมินและประกันคุณภาพการจัดการศึกษา”
พอผมขึ้น
หัวข้อนี้ท่านผู้บริหารและเพื่อครู ก็คงนึกถึง ว่าในรอบ 4 ปี
ก็จะมีคนจะภายนอกประมาณ 3-5 คน เข้ามาในโรงเรียนเพื่อตรวจสอบเอกสาร
และพิจารณาดูเอกสารต่างๆว่า การจัดการศึกษาของโรงเรียนเรานั้นมีคุณภาพควรแก่การรับรองจากองค์กรภายนอกหรือไม่
สภาพของผู้บริหารและเพื่อนครูก็ดูอิดโรยเนื่องจากไม่ได้หลับได้นอนจากการทำเอกสารต่างๆเพื่อรองรับการประเมิน
ณ วันนี้
ทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ได้จัดทำร่างกรอบมาตรฐานเพื่อการประเมินคุณภาพภายในของสถานศึกษา
ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีแนวคิดว่าในระดับสถานศึกษาและหน่วยงานต้นสังกัดต้องมีความรู้ความเข้าใจและปฏิบัติตามหลักการของการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา
ดังนี้
1. การประกันคุณภาพเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องปฏิบัติตามภาระงานที่ได้รับมอบหมาย
2.
การประกันคุณภาพมุ่งพัฒนาการดำเนินงานตามความรับผิดชอบของตนให้มีคุณภาพดีขึ้นเพราะผลการพัฒนางานของแต่ละคนคือผลรวมของการพัฒนาทั้งสถานศึกษา
3.
การประกันคุณภาพเน้นการพัฒนาคุณภาพโดยให้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารการศึกษาที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องไม่ใช่ทำเพื่อรับการประเมินเป็นครั้งคราวเท่านั้น
4. การประกันคุณภาพต้องเกิดจากความร่วมมือของบุคลากรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่สามารถให้ผู้อื่นดำเนินการแทนได้
5.
การประกันคุณภาพต้องเกิดจากการยอมรับและนำการประเมินคุณภาพการศึกษาไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
ท่านผู้บริหารและเพื่อนครูลองพิจารณาการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนท่านดูว่าสอดคล้องกับหลักการ
5 ข้อข้างต้นผ่าน 8 องค์ประกอบของการประกันคุณภาพภายในหรือไม่ ถ้ายังไม่ทำ
ก็ต้อง...............
ทาง สพฐ. ได้จัดทำร่างกรอบมาตรฐานเพื่อการประเมินคุณภาพภายในของสถานศึกษา
ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยใช้ฐานคิดว่า
ต้องเป็นมาตรฐานที่สถานศึกษาปฏิบัติได้ ประเมินได้จริง กระชับ และจำนวนน้อย
แต่สามารถสะท้อนคุณภาพได้อย่าแท้จริง
ข้อมูลที่ได้เกิดประโยชน์กับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาทุกระดับ ดังนั้น
การกำหนมาตรฐานจึงเน้นที่คุณภาพของผู้เรียน คุณภาพของครู คุณภาพของผู้บริหาร
และคุณภาพของสถานศึกษา
และให้สอดคล้องกับมาตรฐานเพื่อประเมินคุณภาพจากภายนอกตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎกระทรวงฯ
ว่าด้วยระบบหลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2553 (ถ้าใครไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้ลองไปหาอ่านดูนะครับ)
สพฐ. ได้กำหนดมาตรฐานเพื่อประกันคุณภาพภายในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย 4
มาตรฐาน ดังนี้
มาตรฐานที่
1 คุณภาพของผู้เรียน หมายถึง ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่แสดงออกถึงความรู้
ความสามารถ ทักษะตามหลักสูตรสถานศึกษา และมีพัฒนาการในด้านการอ่าน
คิดวิเคราะห์เขียน สมรรถนะที่สำคัญ และคุณลักษณะ อันพึงประสงค์
มาตรฐานที่
2 กระบวนการบริหารและการจัดการของสถานศึกษา หมายถึง การดำเนินการบริหารและจัดการของสถานศึกษาที่ครอบคลุมด้านวิชาการ
ด้านครู และบุคลากรทางการศึกษา ด้านข้อมูลสารสนเทศ และด้านสภาพแวดล้อมโดยเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเพื่อสร้างความมั่นใจด้านคุณภาพการศึกษา
มาตรฐานที่
3 การะบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ หมายถึง
การบวนการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรสถานศึกษาที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชนและท้องถิ่น
ตามความสนใจ ความต้องการ และความถนัดของผู้เรียนโดยใช้วิธีการที่หลากหลาย
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เต็มตามศักยภาพของผู้เรียนแต่ละบุคคล
สร้างโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนมีส่วนร่วม
มีการตรวจสอบและประเมินผลความรู้ตามความเข้าใจของผู้เรียนอย่างเป็นระบบ
และมีประสิทธิภาพ
มาตรฐานที่
4 ระบบการประกันภายในที่มีประสิทธิภาพ หมายถึง
การวางแผนระบบการจัดการคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน
ที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
ร่วมรับผิดและรับชอบต่อผลการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน
ส่งผลให้ผู้เกี่ยวข้องมีความมั่นใจต่อคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
ถ้าผู้บริหารและเพื่อนครูพิจารณาความหมายของแต่ละมาตรฐานแล้ว
จะเห็นว่ามันคุ้นๆ ใช่มั๊ยครับ เพราะมันอยู่ใน พรบ. การศึกษาทั้งหมดเลย ดังนั้น
ลองวิเคราะห์การจัดการศึกษาของโรงเรียนเราดูว่ามันเป็นไปตามมาตรฐานนี้ หรือยัง
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพของมาตรฐานมี 4
ระดับ
ระดับ 4 ดีเยี่ยม
ระดับ 3 ดี
ระดับ 2 พอใช้
ระดับ 1 ปรับปรุง
การตัดสินคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาโดยให้ตัดสิ้นจากผลการประเมิน
4 มาตรฐาน นำผลการประเมินรายมาตรฐานเหล่านั้นมาพิจารณาเป้นภาพรวมเพื่อตัดสินระดับคุณภาพของสถานศึกษาตามระดับคุณภาพ
ผมขอนำเสนอรูปแบบการการประเมินแบบองค์รวม
(Holistic
Assessment) ซึ่งเป็นรูปแบบการประเมินหนึ่งที่จะเกี่ยวข้องกับการประเมินคุณภาพการศึกษาในอนาคตอันใกล้นี้
การประเมินแบบองค์รวม
(Holistic
Assessment) เป็นวิธีการให้คะแนนสิ่งที่จะประเมิน (ผลงาน กิจกรรม
กระบวนการ องค์กร) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอยู่ภายใน โดยพิจารณาจากภาพรวมตามเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กำหนดและมีการอธิบายระดับคุณภาพไว้ชัดเจน
ด้วยวิธีการประเมินหลาย ๆ วิธี
ลักษณะของการประเมินแบบองค์รวม
(Holistic)
1.
ประเมินในภาพรวม
2.ให้คะแนนสิ่งที่ต้องการประเมินแบบกว้างๆโดยรวม
1 ค่า
3.
ใช้ในการประเมินผลงานหรือกระบวนการ ปฏิบัติงานที่มีความสัมพันธ์กันภายใน
4.
ประเมินและตัดสินใจได้รวดเร็ว
5.
ผู้ประเมินต้องมีทักษะและความรู้รอบและรู้ลึก (expert judgment)
ซึ่งต่างจาการประเมินแบบแยกส่วน(Analytic) เหมือนที่เคยปฏิบัติมา
ลักษณะของการประเมินแบบแยกส่วน(Analytic)
1.ประเมินแยกเป็นประเด็นย่อย
2.
ให้คะแนนสิ่งที่ต้องการประเมินแบบแยกส่วนในแต่ละองค์ประกอบหรือลักษณะสำคัญที่จาเป็น
3.ใช้ประเมินผลงานหรือกระบวนการปฏิบัติงานที่ซับซ้อนและต้องใช้มิติ/เกณฑ์หลายด้านสาหรับใช้บ่งชี้คุณภาพของงานจึงจะคลอบคลุมและชัดเจน
4.
ใช้เวลาในการประเมินเพราะให้ความสำคัญกับการประเมินแต่ละประเด็นย่อย
5.
ผู้ประเมินพิจารณาไปตามประเด็นทีละประเด็นตามที่กำหนด
ฉบับนี้เอาไว้ค่านี้ก่อนนะ
ครับ
ท่านผู้บริหารและเพื่อครูสามารถติดตามข่าวคราวเรื่องการประกันคุณภาพการศึกษาได้จาก
เว็บไซด์ของสำนักทดสอบทางการศึกษา สพฐ. http://bet.obec.go.th/
ขอเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้นะครับ
gg.gg/sornorpoo/
http://supercpn2.blogspot.com/