สวัสดีครับท่านผู้บริหารและเพื่อนครูทุกท่าน
สาร ศน. เล่าเรื่อง ฉบับนี้ ผมคิดอยู่นานว่าจะเอาเรื่องอะไร
มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้บริหารและเพื่อนครู คิดไปคิดมา
ผมเลยตัดสินใจเลือกนโยบายที่เป็นประเด็นร้อนของกระทรวงอยู่ในขณะนี้ นั้นก็คือ “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ณ เวลานี้
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 มีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ “ลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้” ประมาณ 60
กว่าโรงเรียน ซึ่งภายในปีการศึกษา
2559 ทุกโรงเรียนก็จำเป็นต้องเข้าร่วมโครงการทุกโรงเรียน
ทำไมต้องลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้...
นโยบายนี้เกิดขึ้นมา เนื่องจากรัฐบาล
และกระทรวงศึกษาธิการมีความเชื่อว่า ณ ปัจจุบัน นักเรียนไทย นั้น
คุณภาพการศึกษาต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ เมื่อพิจารณาจากผลการทดสอบระดับชาติ
เด็กไทยใช้เวลาเรียนในปริมาณที่มาก อัดเน้นไปด้วยเนื้อหา
ไม่นำพานักเรียนสร้างความรู้
จากเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการจัดการศึกษาของบ้านเมืองเราต้องมาพิจารณา
และกำหนดนโยบายนี้ขึ้นมา ถามว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่หรือไม่ ผมฟันธงได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดเลย
มันเป็นเรื่องที่เพื่อนครูทุกคนทำกันมานานแล้ว
ถ้าจำกันเคยมีนโยบายของภาครัฐอยู่ตัวหนึ่งก็คือการปรับสัดส่วนภาคทฤษฏีกับภาคปฏิบัติ
70:30 ให้นักเรียนมีโอกาสใช้แหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน
และปฏิบัติในสถานการณ์จริงบ้าง อีกส่วนหนึ่งเวลาที่นักเรียนก่อนกลับบ้านโรงเรียนทุกโรงเรียนในประเทศไทยจะมีเวลาให้นักเรียนได้
เล่น ทำกิจกรรมต่างๆอิสระ ตามความสนใจของนักเรียน
สิ่งที่ต่างออกไประหว่างการปฏิบัติที่ผ่านมากับกิจกรรมลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้นั้นก็คือระบบการจัดการ
นั้นเอง
สรุปได้ว่า
“ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” นั้นคือ
ลดเวลาเรียน
การลดเวลาเรียนภาควิชาการและลดเวลาของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นผู้รับความรู้ เช่น การบรรยาย การสาธิตการศึกษาใบความรู้ให้น้อยลง
เพิ่มเวลารู้
การเพิ่มเวลาและโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง
มีประสบการณ์ตรง คิดวิเคราะห์ ทำงานเป็นทีม เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีความสุขจากกิจกรรมที่หลากหลาย
จะออกแบบกิจกรรมลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้อย่างไร
โรงเรียนจะออกแบบการจัดกิจกรรมลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้อย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพ
เป็นประโยชน์กับการเรียนรู้ของผู้เรียนมากที่สุด ผมขออนุญาตเสนอ ดังนี้
1.
โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้
จะต้องมีการพูดคุยกับผู้เกี่ยวข้อง ผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษา
นำข้อมูลฐานของปีที่ผ่านมา เสนอในวงสนทนา (ประชุม) วิเคราะห์ว่านักเรียนของโรงเรียนเรานั้นยังขาดอะไร
อยู่บ้าง เช่น การอ่านเขียน วิเคราะห์
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะตามหลักสูตร หรือเรื่องอื่นๆ
ที่นักเรียนจะต้องมี จะต้องเป็น เมื่อจบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2.
จากนั้นครูออกแบบกิจกรรมที่สนองตอบเรื่องต่างๆที่จะพัฒนานักเรียนของตนเอง
ซึ่งกิจกรรมเป็นลักษณะกิจกรรมที่
สนองตอบความสนใจและความถนัดของผู้เรียนอย่างหลากหลาย
สร้างความรู้ผ่านกระบวนการและกิจกรรม
ลงมือปฏิบัติและสร้างความรู้
ในบรรยากาศที่อบอุ่น อิสระ ปลอดภัย
เปลี่ยนครูผู้สอนเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำประเมินผลอย่างหลากหลาย ตามสภาพจริง
จะประเมินพัฒนาการอย่างไร
ผมขอนำเสนอทฤษฎีการเรียนรู้ เบนจามิน บลูมและคณะ (Bloom
et al, 1956) ซึ่งได้จำแนกจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ ไว้ 3 ด้าน คือ
ด้าน พุทธิพิสัย (Cognitive
Domain) พฤติกรรมด้านสมองเป็นพฤติกรรมเกี่ยวกับสติปัญญา ความรู้
ความคิด ความเฉลียวฉลาด ความสามารถในการคิดเรื่องราวต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งเป็นความสามารถทางสติปัญญา แบ่งออกเป็น 6 ระดับ
1. ความรู้ความจำ ความสามารถในการเก็บรักษามวลประสบการณ์ต่าง ๆ
จากการที่ได้รับรู้ไว้และระลึกสิ่งนั้นได้เมื่อต้องการเปรียบเสมือนเทปบันทึกเสียงหรือวีดิทัศน์ที่สามารถเก็บเสียงและภาพของเรื่องราวต่างๆได้ สามารถเปิดฟังหรือ ดูภาพเหล่านั้นได้ เมื่อต้องการ
2.
ความเข้าใจเป็นความสามารถในการจับใจความสำคัญของสื่อ
และสามารถแสดงออกมาในรูปของการแปลความ ตีความ คาดคะเน ขยายความ หรือ การกระทำอื่น
ๆ
3.
การนำความรู้ไปใช้ เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถนำความรู้
ประสบการณ์ไปใช้ในกาแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
ซึ่งจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ จึงจะสามารถนำไปใช้ได้
4.
การวิเคราะห์ ผู้เรียนสามารถคิด หรือ แยกแยะเรื่องราวสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย
เป็นองค์ประกอบที่สำคัญได้ และมองเห็นความสัมพันธ์ของส่วนที่เกี่ยวข้องกัน
ความสามารถในการวิเคราะห์จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน
5.
การสังเคราะห์ ความสามารถในการที่ผสมผสานส่วนย่อย ๆ
เข้าเป็นเรื่องราวเดียวกันอย่างมีระบบ
เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ที่สมบูรณ์และดีกว่าเดิม
อาจเป็นการถ่ายทอดความคิดออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย
การกำหนดวางแผนวิธีการดำเนินงานขึ้นใหม่ หรือ
อาจจะเกิดความคิดในอันที่จะสร้างความสัมพันธ์ของสิ่งที่เป็นนามธรรมขึ้นมาในรูปแบบ
หรือ แนวคิดใหม่
6.
การประเมินค่า เป็นความสามารถในการตัดสิน
ตีราคา หรือ สรุปเกี่ยวกับคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ
ออกมาในรูปของคุณธรรมอย่างมีกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม
ซึ่งอาจเป็นไปตามเนื้อหาสาระในเรื่องนั้น ๆ หรืออาจเป็นกฎเกณฑ์ที่สังคมยอมรับก็ได้
จิตพิสัย
(Affective
Domain)(พฤติกรรมด้านจิตใจ)
ค่านิยม
ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ ความเชื่อ
ความสนใจและคุณธรรม
พฤติกรรมด้านนี้อาจไม่เกิดขึ้นทันที ดังนั้น
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และสอดแทรกสิ่งที่ดีงามอยู่ตลอดเวลา
จะทำให้พฤติกรรมของผู้เรียนเปลี่ยนไปในแนวทางที่พึงประสงค์ได้ แบ่งออกเป็น 5 ระดับ
1.การรับรู้
... เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อปรากฎการณ์ หรือสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการแปลความหมายของสิ่งเร้านั้นว่าคืออะไร
แล้วจะแสดงออกมาในรูปของความรู้สึกที่เกิดขึ้น
2.
การตอบสนอง ...เป็นการกระทำที่แสดงออกมาในรูปของความเต็มใจ ยินยอม
และพอใจต่อสิ่งเร้านั้น ซึ่งเป็นการตอบสนองที่เกิดจากการเลือกสรรแล้ว
3.
การเกิดค่านิยม ... การเลือกปฏิบัติในสิ่งที่เป็นที่ยอมรับกันในสังคม
การยอมรับนับถือในคุณค่านั้น ๆ หรือปฏิบัติตามในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
จนกลายเป็นความเชื่อ แล้วจึงเกิดทัศนคติที่ดีในสิ่งนั้น
4.
การจัดระบบ ... การสร้างแนวคิด
จัดระบบของค่านิยมที่เกิดขึ้นโดยอาศัยความสัมพันธ์ถ้าเข้ากันได้ก็จะยึดถือต่อไปแต่ถ้าขัดกันอาจไม่ยอมรับอาจจะยอมรับค่านิยมใหม่โดยยกเลิกค่านิยมเก่า
5.
บุคลิกภาพ ... การนำค่านิยมที่ยึดถือมาแสดงพฤติกรรมที่เป็นนิสัยประจำตัว
ให้ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงามพฤติกรรมด้านนี้
จะเกี่ยวกับความรู้สึกและจิตใจ ซึ่งจะเริ่มจากการได้รับรู้จากสิ่งแวดล้อม
แล้วจึงเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ ขยายกลายเป็นความรู้สึกด้านต่าง ๆ จนกลายเป็นค่านิยม
และยังพัฒนาต่อไปเป็นความคิด อุดมคติ
ซึ่งจะเป็นควบคุมทิศทางพฤติกรรมของคนคนจะรู้ดีรู้ชั่วอย่างไรนั้น
ก็เป็นผลของพฤติกรรมด้านนี้
ทักษะพิสัย
(Psychomotor
Domain) (พฤติกรรมด้านกล้ามเนื้อประสาท)
พฤติกรรมที่บ่งถึงความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ
ซึ่งแสดงออกมาได้โดยตรงโดยมีเวลาและคุณภาพของงานเป็นตัวชี้ระดับของทักษะ
ซึ่งแบ่งอกเป็น 5 ระดับ เช่นกัน
1.
การรับรู้ ... เป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้อง หรือ
เป็นการเลือกหาตัวแบบที่สนใจ
2.
กระทำตามแบบ หรือ เครื่องชี้แนะ ...
เป็นพฤติกรรมที่ผู้เรียนพยายามฝึกตามแบบที่ตนสนใจและพยายามทำซ้ำ
เพื่อที่จะให้เกิดทักษะตามแบบที่ตนสนใจให้ได้ หรือ สามารถปฏิบัติงานได้ตามข้อแนะนำ
3.
การหาความถูกต้อง พฤติกรรมสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องชี้แนะ เมื่อได้กระทำซ้ำแล้ว ก็พยายามหาความถูกต้องในการปฏิบัติ
4.
การกระทำอย่างต่อเนื่องหลังจากตัดสินใจเลือกรูปแบบที่เป็นของตัวเองจะกระทำตามรูปแบบนั้นอย่างต่อเนื่อง
จนปฏิบัติงานที่ยุ่งยากซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง คล่องแคล่ว การที่ผู้เรียนเกิดทักษะได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนและกระทำอย่างสม่ำเสมอ
5.
การกระทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ
พฤติกรรมที่ได้จากการฝึกอย่างต่อเนื่องจนสามารถปฏิบัติ
ได้คล่องแคล่วว่องไวโดยอัตโนมัติ
เป็นไปอย่างธรรมชาติซึ่งถือเป็นความสามารถของการปฏิบัติในระดับสูง
เมื่อเพื่อครูพิจารณาจากทฤษฎีการเรียนรู้ ข้างต้นแล้ว พอจะนึกออก มั๊ย ครับว่า
จะออกแบบประเมินพัฒนาการของนักเรียนจากการจัดกิจกรรมลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้อย่างไร ซึ่งสามมารถเลือกประเมินได้ตามความต้องการของเพื่อนครูเลย
อยากจะทราบว่าในการจัดกิจกรรมแต่ละครั้ง นักเรียนมีพัฒนาการเรียนรู้
ด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย ทักษะพิสัย
ระดับใด
เมื่อจัดกิจกรรมครั้งต่อไปนักเรียนมีพัฒนาการเรียนรู้เพิ่มขึ้นหรือไม่
ผมขอจบสารฉบับนี้ไว้แค่นี้ก่อน
ใจจริงๆแล้ว ผมอยากจะหยิบยกเรื่อง การทำ AAR มานำเสนอกับเพื่อนครูด้วย
แต่ก็ด้วยจำนวนหน้ากระดาษที่จำกัด ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันครับ
ขอเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้นะครับ
gg.gg/sornorpoo/
http://supercpn2.blogspot.com/